เทศน์เช้า วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ฟังธรรมะเพื่อเตือนสติเราไง เพื่อเตือนสติของเราไม่ให้ประมาทในชีวิต ถ้าไม่ให้ประมาทในชีวิตนะ
เด็กเล็กเด็กน้อยมันไม่รู้จักชีวิตของมัน มันไร้เดียงสา มันต้องการความสะดวกสบายของเขาเท่านั้น เราเป็นพ่อเป็นแม่เราคุ้มครองดูแล เราคุ้มครองดูแลเขาให้เจริญเติบโตขึ้นมา ถ้าฝึกฝนขึ้นมา ฝึกฝนขึ้นมาตั้งแต่วัยเด็กให้เขาฉลาด ให้เขามีจิตใจเป็นสาธารณะ ให้จิตใจเขาเป็นจิตอาสา มันจะเป็นความสุขของเขาเอง เป็นความสุขของเขาเองไง
แต่ถ้าเราฟังธรรมๆ ฟังธรรมขึ้นมาอยากร่ำอยากรวยๆ ใครๆ ก็อยากร่ำอยากรวยทั้งนั้นน่ะ แต่อยากร่ำอยากรวยโดยความสุจริต ด้วยความสุจริต ด้วยอำนาจวาสนาของเรา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของเรา ด้วยสติปัญญาของเรา เราทำสิ่งใดเพื่อประสบความสำเร็จกับชีวิต ถ้าทำประสบความสำเร็จกับชีวิต ชีวิตนี้มันก็เป็นชีวิตนี้ แต่ชีวิตนี้มันสั้นนักนะ ชีวิตนี้มันสั้นนัก ๑๐๐ ปีเท่านั้น เราต้องสิ้นชีวิตนี้ไป
เราสิ้นชีวิตนี้ไป เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ เรายืนยัน ย้ำประจำว่า เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้มันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
เวลาไปเกิดในภพใดชาติใดขึ้นมาแล้ว เราทำอะไรมา ทำไมเราทุกข์เรายากขนาดนี้ เราทำอะไรมา ทำอะไรมา
เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เราเกิดมาเป็นอย่างนี้ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้ามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหน แต่เราด้วยความสุจริต สิ่งนี้มันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงๆ เราทำเพื่อเรา ทำเพื่อเราไง
คนอื่นเขาจะแซงหน้าแซงหลังไปขนาดไหนมันเรื่องของเขา มันเรื่องของเขา ถ้าเขามาด้วยความไม่สุจริตมันไม่มีความสุขหรอก ความลับไม่มีในโลก เราเป็นคนทำเองๆ เราเป็นคนทำเองมันเผาลนหัวใจของเราเอง หน้าชื่นตาบานแต่หัวใจมันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ
ถ้าหัวใจมันทุกข์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนหัวใจของสัตว์โลก สอนหัวใจของสัตว์โลกให้คิดดีทำดี ถ้าคิดดีทำดี คนคิดดีทำดีแล้วอยู่ในสังคมใด เราคิดดีทำดีขึ้นมา ชีวิตของเรา มันมีอำนาจวาสนาบารมีนะ
เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เวลาเด็กมันมีปัญหาขึ้นมา “เฮ้ย! มันเด็กดีนะ เฮ้ย! บ้านนี้เป็นคนดีนะ” แล้วบ้านนี้เป็นคนดีนะ แต่ความเป็นคนดีของเราๆ เราต้องทำของเราขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมาๆ
ถ้าเป็นคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้นะ มีคนช่วยเหลือเจือจานทั้งนั้นน่ะ เวลาเพลงมันร้อง หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดินอย่างนี้ แต่ไอ้คนนี้หนักแผ่นดินๆ เวลาเขาตกทุกข์ได้ยากมีแต่คนเยาะเย้ยเหยียดหยามนะ ว่าหนักแผ่นดินๆ
แต่เราไม่ทำตัวเราหนักแผ่นดินไง เราไม่ทำตัวเราหนักแผ่นดิน เราฟังธรรมๆ เวลาทางโลกเขาว่าเป็นคนโง่ คนไม่ทันคน
มันทันกิเลส แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมารนี่สำคัญมาก แล้วแพ้แบบพระ แพ้แบบผู้ประเสริฐน่ะ นี่ผู้ประเสริฐนะ เขามั่งมีศรีสุขขนาดไหน เขาเจอคนทุกข์จนเข็ญใจ คนมันมีศักดิ์ศรี เวลาเขาจะยื่นให้ เขาจะสอนให้ เขาให้ด้วยสติปัญญาไง ให้ด้วยไม่ให้เขาเสียศักดิ์ศรี นี่แพ้เป็นพระ
เราจะเป็นผู้ให้เขา เราจะเป็นผู้ที่ดูแลเขา เราเป็นผู้ที่สั่งสอนเขา เราต้องสั่งสอนเขาเป็นไง เราไม่ใช่ใช้อำนาจไปกดขี่เขา เอาชนะคะคานเขาแล้วได้อะไรขึ้นมา
นี่แพ้เป็นพระๆ แพ้แบบผู้ประเสริฐ เราช่วยเหลือเจือจานสังคม เราดูแลสังคมให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข พอร่มเย็นเป็นสุขแล้วเราก็มีความสุข เรามีความสุขของเราอันนี้นี่บุญกุศล
แล้วบุญกุศลอำนาจวาสนาบารมี พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาเยอะนะ ทำมามากมายมหาศาล เพราะการทำมามากมายขนาดนั้น เวลาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ใครๆ ก็ปรารถนาจะทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ ก็ปรารถนาจะทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่า เพราะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้มีบุญกุศลมากมายขนาดนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ไม่ใช่ เราทำมาทั้งนั้นน่ะ
ทุกอย่างมันต้องทำของมันมา มันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก นี่เราคิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จะมาหยิบมาฉวยมาแย่งมาชิง การหยิบการฉวยการแย่งการชิงมันก่อให้เกิดปัญหาทั้งสิ้น มันก่อให้เกิดปัญหาจากข้างนอก
เราให้เขาไปก่อน เราให้เขาไปก่อนเลย ใครอยากแซงหน้าไปก่อนเลย แล้วเราไปตามหลัง เดี๋ยวมันไปล้มอยู่ข้างหน้านั่นน่ะ มันต้องล้มอยู่ข้างหน้าเพราะมันจะชิงดีชิงชั่ว แย่งชิงเขา มันต้องมีประสบเคราะห์กรรมของเขาแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้น
แต่เราก็พูด เห็นไหม คนดีอายุสั้นทั้งนั้นน่ะ คนดี คนนู้นก็ตาย คนนี้ก็ตาย ไอ้คนชั่วทำไมมันไม่ตายสักที หนักแผ่นดินๆ นั้นเป็นเพราะอะไร
คำว่า “หนักแผ่นดินๆ” มันเรื่องส่วนตัวของเขานะ แต่มันจะหนักแผ่นดินได้เพราะมันต้องคิดก่อน มันต้องคิดเอารัดเอาเปรียบเขา มันต้องคิดเล่ห์เพทุบาย แล้วมันคิด เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง
เวลาคิดมันคิดอย่างหนึ่งนะ ด้วยเล่ห์ด้วยเพทุบาย มันจะชิงดีชิงชั่วของมัน แล้วมันทำก็ทำของมันไป แล้วไอ้เราก็เป็นคนโง่ไม่เท่าทันคน
ถ้าไม่เท่าทันคนนะ โดยทางโลกไม่เท่าทันคนนะมีมากมาย จิตใจอ่อนแอ เวลาทำหน้าที่การงานก็โดนเบียดเบียนขึ้นมาเจ็บช้ำน้ำใจนัก เจ็บช้ำน้ำใจนักแล้วไปไหน เห็นไหม
เราเคยเห็นนะ มีลูกศิษย์คนหนึ่ง ขนาดว่าเขาไม่ได้สองขั้นน่ะ เขามาหาเราเองนะ เวลามาฟังธรรมบ่อยๆ ครั้งแล้วเขามาสารภาพ บอก “หลวงพ่อ ผมเคยคิดฆ่าตัวตายเลยล่ะ เพราะไม่ได้สองขั้น”
โอ๋ย! เราฟังแล้วหนาวเลยนะ ไม่ได้สองขั้นน่ะคิดฆ่าตัวตายเลย แล้วภาษาเรานะ แล้วถ้าคิดฆ่าตัวตายแล้วเอ็งได้อะไร ทำร้ายตัวเองทั้งนั้นเลย ไอ้พวกที่มันได้สองขั้นสามขั้นมันหัวเราะชอบใจนั่นน่ะ
เราฆ่าตัวตายไม่มีใครมาชื่นชมเราหรอก มีแต่คนซ้ำเติมทั้งนั้นน่ะ เราฆ่าตัวตายเราคิดว่าเราทำแล้วเราจะชนะคะคานเขาหรือ เพราะด้วยความน้อยใจไง
แต่พอมาฟังธรรมเราบ่อยๆ ครั้ง เขามาสารภาพเอง บอกเขาเคยคิดฆ่าตัวตายเลยเพราะไม่ได้สองขั้น พอมาฟังธรรมๆ เดี๋ยวนี้ผมสบาย อะไรก็ได้ อะไรสบาย
ถ้ามันคนคิดดีทำดีขึ้นมามันคิดดีทำดีขึ้นมาในหัวใจของเรา เราคิดดีทำดีขึ้นมา เราก็มีหน้าที่การงานแล้ว ไอ้สองขั้นสามขั้นถ้ามันได้มามันก็ดีทั้งนั้นน่ะ ใครก็อยากได้ เราก็อยากได้ ถ้าใครให้สองขั้นสามขั้นให้เรา เราเอาทันทีเลย แต่ถ้ามันไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ได้ก็เอาแล้ว ผู้บริหารไม่เป็นธรรม คนนั้นไม่เป็นธรรม
เขาก็ไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ถ้าเป็นธรรมเราก็ได้สองขั้นไปนานแล้ว แล้วถ้าไม่เป็นธรรมๆ เห็นไหม
นี่เวลาหลวงตาท่านสอนไง ใครจะดีใครจะชั่วเรื่องของเขา
เรื่องของเขานะ เขาเป็นคนชั่ว แต่เขากระเสือกกระสนขึ้นมาจนเป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้บริหาร เป็นผู้บริหาร บริหารด้วยทิฏฐิมานะของเขา
ไอ้เราเป็นคนดีๆ คนดีไม่มีใครคุ้มครองดูแลใช่ไหม ถ้าคนดีของเรา เราก็รักษาตัวเรา เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา เราก็มีหน้าที่การงานอยู่แล้ว เรามีศีลมีธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัยอยู่แล้ว จิตใจของเรา เรามีที่พึ่งของเราไง ถ้ามีที่พึ่งของเรา เรารักษาใจของเรา ใครจะดีใครจะชั่วเรื่องของเขา ใจของเรา เราดูแลใจของเรา
ถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ถ้าทำดีแล้วยังไม่ถึงเวลาของมัน นี่กรรมเก่า กรรมใหม่ เวลากรรมเก่าๆ นะ ทำสิ่งใดนะ มันหลุดไม้หลุดมือไปทั้งนั้นน่ะ
มันมีลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาเป็นแม่ค้า เขาเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง อู๋ย เขาสะสมเงินทองมาขนาดไหนนะ โจรมาปล้นสักทีหนึ่ง เขาเก็บหอมรอมริบขึ้นมานะ พอมีเงินมีทองนะ โจรมาขโมยไปสักทีหนึ่ง โจรขโมยแล้วขโมยเล่า ทำไว้ให้โจรมันไปเอา
สุดท้ายเขาไปหาอาจารย์เขา อาจารย์เขาบอกว่า เมื่ออดีตชาติเราเคยเป็นภรรยาของโจร เราเคยเป็นๆ เราเคยเป็น แต่ตอนนี้เราเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ไม่ได้เป็นภรรยาของโจร
นี่เราทำสิ่งใดมาๆ เราเคยเป็นภรรยาของเขา เขาให้สิ่งใดมาเขาก็มาจุนเจือในครอบครัว นี่กรรมเก่าๆ กรรมสิ่งนั้นให้ผลมา
นี่เวลาอาจารย์เขา เขาก็มาเล่าให้เราฟังอีก เจ้าตัวเขามาเล่าให้เราฟัง แม่ค้าข้าวแกงนะ เขาค้าขายขึ้นมาเขามีเงินสะสมนะ เขาเก็บไว้ๆ ขึ้นมา เดี๋ยวโจรมันก็มาลักไปสักที เดี๋ยวโจรก็ลักไปที เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา
เวลากรรมเก่า กรรมใหม่ เห็นไหม เราเก็บหอมรอมริบ เรารักษาของเราอย่างดี ทำไมข้างบ้านมันรวยกว่าเราทำไมมันไม่ไปเข้า มันมาเข้าบ้านเรา แล้วมาเข้าทีไรก็มาเอาเงินเอาทองของเราทุกทีเลย อันนี้พูดถึงเรื่องเวรเรื่องกรรมนะ
แต่ถ้าเรื่องปัจจุบันนี้ ไอ้พวกติดยามันไม่มีเงินไปซื้อยา มันไม่ใช่เวรกรรมอะไรหรอก มันเป็นเรื่องไอ้พวกติดยาแล้วมันอยากได้เงินไปซื้อยา เป็นเรื่องเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่มันขาดแคลน คนทุกข์คนจน คนไม่มีจะกินเขาก็มาลักของของเรา
เวลากรรมเก่า กรรมปัจจุบันนี้ กรรมปัจจุบันนี้เราก็รักษาสิ เราทำหน้าที่การงานของเราใช่ไหม เงินของเราใช่ไหม เราได้มาแล้วเราก็เก็บรักษาไว้ให้ดีใช่ไหม ถ้าใครจะมาลักขโมยขึ้นมา เราก็รักษาของเรา ไอ้นี่ก็ด้วยปัจจุบันนี้เรารักษาของเรา เราดูแลของเรา
กรรมเก่า กรรมใหม่มันมีของมันทั้งนั้นน่ะ ถ้ากรรมเก่า กรรมใหม่มันมีของมัน ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เงินนั้นน่ะเขาเก็บรักษาของเขาได้
นี่พูดถึงว่าสิ่งที่มีการกระทำๆ กรรมเก่า กรรมใหม่ ถ้ากรรมเก่า กรรมใหม่ก็ย้อนกลับมาที่เราเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิด เวลาจิตใจที่มันอ่อนแอ จิตใจที่มันไม่เข้มแข็งขึ้นมา มีสิ่งใดกระทบแล้วล้มเหลว
คำว่า “ล้มเหลว” นะ ล้มเหลวแล้วกิเลสมันก็เหยียบย่ำหัวใจ เหยียบย่ำหัวใจนะ เราทุกข์อยู่คนเดียว เราทุกข์อยู่คนเดียว แต่มันไม่มองไปข้างนอก คนทุกข์กว่าเราเยอะแยะเลย คนทุกข์เยอะแยะไปหมดเลย แต่จิตใจเขาเข้มแข็งหรือจิตใจเขาอ่อนแอล่ะ
จิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่อ่อนแอนี้เพราะอะไร นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนที่หัวใจนี้ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจอันนี้ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจอันนี้ เราทำความดีของเราๆ ทำความดีของเราเท่าที่มีสติปัญญา
ถ้ามันขาด เวลาฟิวส์ขาด เวลามันมีสิ่งใด อันนั้นก็ควบคุมไม่ได้ พอตั้งสติได้ เราทำของเราใหม่ ทำของเราใหม่ ฝึกหัดๆ ของเรา ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา
ถ้ามันทำดี “หลวงพ่อ ทำดีแล้วไม่มีจะกิน ทำอย่างไรล่ะ”
ไม่มีจะกิน เรามาวัดนี้ ไม่มีจะกิน บนโต๊ะนี้ให้เลย ทำดีแล้วไม่มีจะกินหรือ มันต้องมีสิ มันมีของมันนะ แต่นี้คนเรามันด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยศักดิ์ศรี ไม่มีก็ไปกู้นอกระบบ มันด้วยศักดิ์ศรี ด้วยอะไร
แต่ถ้ามันช่วยเหลือเจือจานกัน ความช่วยเหลือเจือจานกันนะ แต่เราต้องมีสติปัญญานะ คนเขามีสติปัญญาให้เท่าทันเขา เวลาเท่าทัน เราไม่เป็นเหยื่อของใครทั้งสิ้น
เวลาให้ เราให้ด้วยเป็นผู้ประเสริฐ พระผู้แพ้ ผู้แพ้ผู้ประเสริฐ แล้วจะให้ เราให้แล้ว เพราะการให้ถือว่าให้ ให้แล้วไม่มีผลตอบแทน แต่ได้ช่วยเหลือเจือจานมนุษย์ ได้ดูแลสังคม สังคมร่มเย็นเป็นสุขน่ะ เราต่างหาก นี่คนที่จะมีอำนาจวาสนาบารมีมันเกิดมันเกิดมาจากตรงนี้ไง
มันไม่ได้เกิดขึ้นมา คนเรามีอำนาจ บางคนมีอำนาจแต่ไม่มีบารมี เขาไม่มีพรรคพวกเลย เขาไม่มีใครล้อมหน้าล้อมหลังเลย เพราะอะไร เขามีอำนาจแต่เขาไม่มีบารมี แต่คนที่เขามีบารมีนะ เขาไม่มีอำนาจ แต่เขามีบารมีของเขา คนชื่นชมบูชาเขาทั้งสิ้น นี่พูดถึงว่าเรื่องของสังคมนะ แต่เรื่องหัวใจล่ะ
เรามาวัดมาวาเพราะเรามีความสำนึกความเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีคุณค่าที่ไหน มีคุณค่าที่หัวใจเรานี้ ถ้าหัวใจเรานี้ เห็นไหม
ดูสิ เวลาหลวงตาท่านสอน หัวใจนี้เรียกร้องคนช่วยเหลือ หัวใจนี้เรียกร้องคนช่วยเหลือ หัวใจนี้มันบีบคั้น หัวใจนี้มันทุกข์มันยาก หัวใจนี้มันเรียกร้องความช่วยเหลือ แล้วใครจะช่วยเหลือ
เวลาไปโรงพยาบาลนะ เวลาผ่าตัดเขาให้เลือด เขาเอาเข็มทิ่มเข้าไปในเส้นเลือดนะ แล้วให้เลือดมันหยดเข้าไปในเนื้อตัวของเรานะ นี่เวลาเขาให้เลือด เวลาเขาฉีดยาเขาฉีดเข้าไปในร่างกายนี้นะ
เวลาหัวใจของเราที่มันทุกข์มันยากขึ้นมา เรียกร้องความช่วยเหลือ เอาใครไปช่วยเหลือ จะเอาอะไรไปช่วยเหลือมัน
ถ้ามีสติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถๆ นี่ไง ธรรมโอสถ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าทาน ศีล ภาวนามันจะช่วยเหลือ ช่วยเหลือมันด้วยการยอมรับความจริง
การเสียสละทาน การเสียสละทานคือการยอมรับความจริง การยอมรับความจริงขึ้นมาแล้ว สูงต่ำไม่สำคัญ สำคัญที่เจตนาของเรา ถ้าเจตนาของเรามันจะเข้าหัวใจแล้ว
เวลาไปโรงพยาบาลเขาให้เลือด ไปวัดไปวาขึ้นมา ฟังธรรมๆ ขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีสติปัญญาของเราขึ้นมาจะเข้าสู่หัวใจของเรา
หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะช่วยเหลือหัวใจของเรา ถ้าช่วยเหลือหัวใจของเรา ตั้งสติขึ้นมา สิ่งใดที่มันบีบคั้นๆ ขึ้นมา สติสัมปชัญญะมันเท่าทันความคิดของตน ถ้าเท่าทันความคิดของตนนะ เรามีสติปัญญาขึ้นมา เราทำความสงบของใจเข้ามา
การทำความสงบของใจ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตแก้จิต เวลาจิตมันมีสติปัญญาขึ้นมามันจะเข้าไปสู่จิตของมัน เวลาเข้าสู่จิตของมัน ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มีความสงบระงับนะ โอ้! โลกทั้งโลกไม่มีค่าเลย โอ้! ความสุขที่ตื่นเต้นแสวงหามากับโลกมันไม่เป็นความจริงเลย นี่เวลามันเท่าทันในหัวใจแล้ว หัวใจมันปล่อยวางหมด โอ้โฮ! มีคุณค่ามาก
นี่ไง หัวใจที่มันเรียกร้องความช่วยเหลือๆ แล้วเรียกร้องความช่วยเหลือ ไปวัดไปวา ไปวัดไปวาก็ฟังธรรมนี้ ฟังธรรมนี้เข้าคบบัณฑิตๆ คบบัณฑิตเขานั่งสมาธิ เขาฝึกหัดหัวใจของเขา ปรึกษาหารือกัน พยายามเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา
หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ มันก็ด้วยสติด้วยปัญญาของเราที่มันช่วยเหลือหัวใจของเรา ถ้ามีสติปัญญาจะช่วยเหลือหัวใจของเรา มันทำของมันได้ไง เราพยายามขวนขวายทำของเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรม ๖ ปีประพฤติปฏิบัติมา เวลาครูบาอาจารย์ในสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ๆ ขึ้นมา คำว่า “เป็นพระอรหันต์” คือพ้นจากทุกข์ ดูกษัตริย์ที่เป็นครองราชย์อำนาจ เสียสละบัลลังก์ออกมา มาบวชเป็นพระ เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ “สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ” มันมีความจริงของมันขึ้นมา
แต่โลกเรามันหน้าไหว้หลังหลอก เวลามันทุกข์ขึ้นมามันก็เก็บไว้ทำหน้าชื่นตาบาน เวลาทุกข์มันก็เก็บไว้ในหัวใจไง แล้วสุขหนอ มันสุขหนอตรงไหนล่ะ อะไรมันสุขล่ะ มันสุขจริงหรือเปล่า มันเป็นจริงหรือเปล่า แล้วมาวัดมาวามันสุขไหม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มาตากแดดอยู่นี่มีความสุขไหม
มันจะตากแดด ตากแดดด้วยความพอใจ ด้วยการที่ว่าหัวใจที่เรียกร้องความช่วยเหลือนี้ เราจะช่วยเหลือหัวใจของเรา เรามีสติปัญญาจะช่วยเหลือหัวใจของเรา เรามาทำความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร คนเราต้องมีความเพียร ความวิริยอุตสาหะ
หัวใจที่มันแก้ยาก เห็นไหม เวลาไปหาหมอ หมอต้องวิเคราะห์เลยว่าเป็นโรคอะไร ต้องวินิจฉัยก่อนว่าเป็นโรคอะไรถึงรักษาได้
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะช่วยเหลือหัวใจของเรา ช่วยที่ไหน ไปช่วยที่อากาศหรือ ไปช่วยที่สังคมหรือ
เวลาเราเสียสละทาน เสียสละเพื่อสังคมๆ ระดับของทาน สังคมถ้าร่มเย็นเป็นสุข เราก็มีความสุขด้วย แล้วมีความสุข สังคมร่มเย็นเป็นสุข เรามีโอกาสจะประพฤติปฏิบัติ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราค้นคว้าหาใจของตน ใจที่เป็นนามธรรมๆ นี้
เวลาวิทยาศาสตร์เขาว่าความคิดเร็วกว่าแสง ความคิดต่างๆ ก็ไปคำนวณเรื่องแสง เรื่องสี เรื่องโลก เรื่องธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่หัวใจทุกข์น่าดูเลย หัวใจที่เรียกร้องความช่วยเหลือยังไม่มีใครช่วยเหลือมันได้เลย ฟังธรรมๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนตั้งหลักได้ จนตั้งหลักได้นะ
คนเราทำทานแล้วสร้างบุญกุศล สร้างบุญกุศลให้จิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมันอยากกล้าเข้าไปเผชิญแก้ไขหัวใจของตน เวลามันจะแก้ไขหัวใจของตนนะ ดูสิ เวลาผู้ที่ปฏิบัติใหม่ๆ เวลาจะนั่งสมาธิ จะเดินจงกรม เอาไม่เอา เอาไม่เอา จะสู้ไม่สู้ มันยังตัดสินใจว่าจะเข้าไม่เข้า จะตัดสินใจว่าจะเอาไม่เอาไง
กล้าเดินจงกรมไหม กล้านั่งสมาธิไหม ถ้าจิตใจมันอ่อนแอมันยังไม่ทำ ถ้าทำทานทำได้นะ โอ๋ย! ทำได้ เท่าไรก็ทำได้ แต่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาไม่ได้ ทำไมถึงไม่ได้ เดี๋ยวมันบ้า ไม่มีครูบาอาจารย์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” แล้วความดีอย่างละเอียดนะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ตากแดดตากฝนนะ ครูบาอาจารย์ของเรานะ โอ้โฮ! สมบุกสมบันทั้งสิ้น
หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ หัวใจเรียกร้องความช่วยเหลือ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมวินัย เป็นการชี้นำ เราเท่านั้นต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราเท่านั้นที่ต้องขวนขวาย เราเท่านั้นที่เป็นผู้แสวงหา แล้วเราเท่านั้นที่เป็นผู้พบ เราเท่านั้นที่เป็นผู้เจอ ถ้าเราเป็นผู้พบผู้เจอ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราเท่านั้น เราเท่านั้นเลย เราเห็น เราพบ เราเจอของเรา เราแก้ไขของเรา เราทำของเรา มันมหัศจรรย์ๆ
นี้คือหัวใจที่เรียกร้องความช่วยเหลือ เราจะช่วยเหลือมันได้ด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาของเรา ถ้าเราช่วยเหลือได้ เราช่วยเหลือด้วยความเป็นจริงนะ มหัศจรรย์มาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์มาก
ลัทธิศาสนาอื่นเขาไหว้พระเจ้าให้เป็นผู้ตัดสิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใจของเรานี้เป็นพุทธะ สัมมาสมาธิ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ใจของเราเป็นพุทธะ แล้วถ้ามันวิปัสสนาขึ้นมา ใจของเราจะสิ้นกิเลส
ถ้าสิ้นกิเลสไปแล้ว จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะ ถ้ามันสิ้นกิเลสมันเห็นหมด เทวดา อินทร์ พรหมมันเห็นหมด มันรู้หมด ถ้ามันไม่รู้สิ้นกิเลสไม่ได้ เพราะเราก็สงสัย เทวดามีจริงหรือเปล่า พรหมมีจริงหรือเปล่า ภพชาติมีหรือ วัฏฏะมีจริงหรือวะ นี่เราก็สงสัยของเราไง แต่ถ้ามันสิ้นกิเลสนะ จิตนี้ครอบสามโลกธาตุ
จิตที่เคยเวียนว่ายตายเกิดในทุกภพทุกชาติ สามโลกธาตุ จิตนี้เคยเวียนว่ายตายเกิดมาหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านเคยตกนรก ท่านยังเคยตกนรกเลยก่อนที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ ก่อนที่ท่านจะมาสร้างเป็นพระโพธิสัตว์ ตกนรกอเวจีมาทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าจิตเวลามันพ้นมันครอบสามโลกธาตุ มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ นี่ไง ปฏิเสธพระเจ้าทั้งหมด ปฏิเสธทั้งหมด
แล้วอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนแก้ไขตน ตนชำระล้างตน ตนมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มากเพราะได้ทำลายตน ถ้าไม่ได้ทำลายตน มันยังไม่สิ้น จะสิ้นต้องทำลายทั้งหมด แล้วมันจะเป็นความมหัศจรรย์ท่ามกลางหัวใจ เอวัง